อาบูบักร
ชีวิตในตอนต้น
ท่านอบูบักร์เป็นคอลีฟะฮ์ระหว่างปี ฮ.ศ. 11-13 หรือ ค.ศ. 632-634 มีชื่อเต็มว่า อับดุลลอฮ์ บุตร อุสมาน ( อบูกุฮาฟะฮ์ ) บุตร อามิร บุตร อัมร์ บุตร กะอับ บุตร สะอัด บุตร ตัยม์ บุตร มุรเราะฮ์ มารดาของท่านมีชื่อว่า ซัลมา ท่านเป็นที่รู้จักในนาม อบูบักร์ อัศศิดดีก มีอายุอ่อนกว่าท่านนบี ( ศ็อลฯ ) สองปีเศษ อบูบักร เกิดที่มักกะฮ์ ปี ค . ศ .573 เป็นชาวอาหรับตระกูล บะนูตัยม์ เผ่ากุร็อยส์ ท่านเกิดในครอบครัวที่มีเกียรติเป็นที่นับหน้าถือตาในมักกะฮ์ ท่านเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธ์และจริงใจ ท่านศาสดามุฮัมมัดได้ให้สมญานามท่านว่า " อัซซิดดีก " ( ผู้ที่มีความเชื่อมั่นอย่างบริสุทธิ์ใจในการศรัทธา ) สาเหตุที่ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อล) ได้ให้สมญานาม " อัซซิดดีก " เพราะอบูบักรเชื่อในคำพูดของท่านศาสดามุฮัมมัดโดยไม่มีความสงสัยใดๆ
ท่านอบูบักร์ เป็นคนสุภาพ เป็นคนซื่อสัตย์ และมีสัจจะ อบูบักร์ มีบุคลิกภาพคล้ายกับท่านศาสดามุฮัมมัด เนื่องจากว่าท่านนั้นเป็นสหายคนสนิทของท่านศาสดาตั้งแต่เยาว์วัย อบูบักร์ เป็นคนใจบุญ ท่านชอบช่วยเหลือคนจน ครั้งหนึ่ง ท่านอบูบักร์ได้นำเอาทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่มากมายให้กับท่านศาสดาเพื่อใช้ในสงครามตะบูก ท่านศาสดาถามว่า " อบูบักร์ ท่านเหลือสิ่งใดไว้กับครอบครัวของท่านบ้าง " อบูบักร์ กล่าวว่า " ฉันเหลืออัลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์ไว้กับพวกเขา "
ท่านอบูบักร์ เป็นชายคนแรกที่เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม เมื่อท่านศาสดาเผยแพร่อิสลามแก่อบูบักร์ เขาตอบรับอิสลามทันที เมื่อท่านศรัทธาแล้วท่านก็เชิญชวนบุคคลเป็นจำนวนมากเข้ารับอิสลาม เช่น อุษมาน , สุเบ็ร , ฏ้อลฮะฮ์ , อับดุรเราะห์มาน , สะอัด , บิล้าล และผู้ศรัทธาอีกหลายคน ท่านอบูบักร์ มีความผูกพันกับท่านศาสดาอย่างใกล้ชิดท่านนั้นเป็นสหายคนสนิทของท่านศาสดาตั้งแต่เยาว์วัยและยังเป็นสหายของท่านศาสดาในขณะที่อพยพจากมักกะฮ์ไปมะดีนะฮ์ ท่านศาสดากล่าวว่า " ในบรรดาสหายที่ดีของข้าพเจ้านั้น อบูบักร์ เป็นผู้ประเสริฐสุด " อีกทั้งท่านยังเป็นพ่อตาของท่านศาสดา เนื่องจากลูกสาวของท่าน คือ ท่านหญิงอาอิชะฮ์ เป็นภรรยาของศาสดา ท่านได้เข้าร่วมทำสงครามกับท่านศาสดาทุกครั้ง ท่านได้ซื้อทาสและปล่อยทาสให้เป็นอิสระเป็นจำนวนมาก ขณะที่ท่านศาสดาป่วย อบูบักร์ได้รับเกียรติให้เป็นผู้นำละหมาด ( อิหม่าม ) ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึงความเหมาะสมในการเป็นผู้นำของท่าน อบูบักร์ เป็นผู้ใกล้ชิดต่อท่านศาสดา ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่กับท่านศาสดาตั้งแต่เด็กจนกระทั้งท่านศาสดาเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้ อบูบักร์จึงเป็นผู้หนึ่งที่มีความรู้ทางด้านซุนนะฮ์ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล) อย่างแท้จริง ชีวิตทั้งชีวิต ของท่านได้อุทิศให้กับการเสียสละและการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์
ได้รับเลือกเป็นเคาะลีฟะฮ์
ท่านศาสดามิได้แต่งตั้งให้ผู้ใดสืบตำแหน่งแทนท่าน หลังจากท่านสิ้นชีวิตแล้วโลกมุสลิมจึงตกอยู่ในความวุ่นวาย มุสลิมแบ่งออกเป็นสองค่ายคือ ค่ายอันศอร กับค่ายมุฮาญีรีน แต่ละฝ่ายพยายามที่จะให้คนของตนได้ตำแหน่งนั้น ความสามัคคีระหว่างชาวมุสลิมจึงเสื่อมสลายลง พวกอันศอรแห่งมะดีนะฮ์ได้มาชุมนุมกันเพื่อเลือกคนของตนขึ้นเป็นผู้ปกครอง พวกเขาตกลงกันว่าจะเลือก สะอ์ด บิน อุบัยดะฮ์ (Sad bin Ubayda) ซึ่งเป็นหัวหน้าของเผ่าค็อซร็อญจ์ (Khazraj) ในขณะนั้นอบูบักร์ อุมัรและอุบัยดะฮ์ ก็มาถึงพอดี อบูบักร์กล่าวว่าผู้จะมาเป็นเคาะลีฟะฮ์ควรจะมาจากเผ่ากุร็อยช์ ท่านได้ขอให้เลือกอุมัรหรือมิฉะนั้นก็อบูอุบัยดะฮ์ แต่ทั้งสองคนปฏิเสธ เมื่อเห็นท่าไม่ดีอุมัรจึงจับมืออบูบักร์และให้สัตย์ปฏิญาณต่อท่านว่า จะจงรักภักดีต่อท่าน ดังนั้นทุกคนจึงยกให้อบูบักร์เป็นเคาะลีฟะฮ์ต่อจากท่านศาสดา
การเลือกอบูบักรเป็นเคาะลีฟะฮ์นี้ ได้ก่อให้เกิดปัญหาสำคัญในเรื่องการขึ้นเป็นหัวหน้าชาวมุสลิมในหมู่ชาวอาหรับ หัวหน้าเผ่ามิได้สืบเชื้อสายต่อๆกันมา แต่เป็นได้ด้วยการถูกเลือกตั้ง และการเลือกตั้งนั้นใช้หลักอาวุโสและความสามารถ หลังจากนั้นอบูบักร์ก็ได้ยืนขึ้นกล่าวว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่คนที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่าน ข้าพเจ้าจึงต้องการคำแนะนำและความช่วยเหลือจากพวกท่าน การบอกความจริงแก่ผู้ที่รับภาระปกครองนั้นคือความจงรักภักดี ส่วนการปิดบังความจริงก็คือการกบฏ สำหรับสายตาของข้าพเจ้านั้น ผู้ที่มีอำนาจ ผู้ที่อ่อนแอย่อมเหมือนกัน และข้าพเจ้าต้องการที่จะให้ความยุติธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย ในเมื่อข้าพเจ้าเชื่อฟังอัลลอฮ์และศาสดาของพระองค์ พวกท่านก็จงเชื่อฟังข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าละทิ้งกฏหมายแห่งอัลลอฮ์และท่านศาสดา ข้าพเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับการเชื่อฟังจากพวกท่าน"
คำกล่าวปราศรัยของท่านอบูบักร์นี้ บรรจุหลักการแห่งประชาธิปไตยไว้ คือชี้ให้เห็นว่าเคาะลีฟะฮ์ย่อมจะไม่เป็นผู้ที่เอาแต่ใจตนเอง เขาจะต้องปกครองประเทศไปตามกฏหมายชะรีอะฮ์(กฏหมายที่ได้รับจากพระผู้เป็นเจ้า)และต้องรับผิดชอบต่อผลที่จะพึงมีแก่ประชาชนจากการกระทำของเขา
สมัยของท่านอบูบักร์
เมื่อได้เป็นเคาะลีฟะฮ์แล้วท่านอบูบักร์ก็ต้องผจญกับปัญหาหลายอย่าง เช่นการเกิดขึ้นของศาสดาเถื่อนทั่วภาคพื้นอารเบีย การถอนตัวออกจากอิสลามของชนเผ่าต่างๆในอารเบีย และการที่คนส่วนมากปฏิเสธอย่างแข็งขันไม่ยอมจ่ายซะกาต แต่งานชิ้นแรกของท่านอบูบักร์ก็คือการทำความประสงค์ของท่านศาสดาที่มีอยู่ก่อนที่ท่านจะสิ้นชีวิตให้สำเร็จผล ท่านจึงได้ส่งอุซามะฮ์(Usamah)ให้เป็นแม่ทัพนำทัพไปตีซีเรีย ภายในเวลาสองสัปดาห์เท่านั้นอุซามะฮ์ก็กลับมาพร้อมด้วยชัยชนะ
ความสำเร็จในภารกิจของท่านศาสดาทำให้คนหลายคนเกิดความทะเยอทะยานขึ้น จึงได้เกิดศาสดาปลอมขึ้นในส่วนต่างๆของประเทศ ข่าวการสิ้นชีวิตของท่านศาสดาก็ทำให้ศาสดาเถื่อนเหล่านั้นลุกฮือขึ้น คนแรกที่แข็งข้อขึ้นที่แคว้นยะมันก็คือ อัสวัดอันซี(Aswad Ansi) หัวหน้าเผ่าอันซี เขารวบรวมผู้คนจำนวนมากโดยร่วมมือกับหัวหน้าเผ่าข้างเคียงยืนหยัดแข็งข้อต่ออิสลามอย่างเปิดเผย
มุซัยลิมะฮ์ (Musaylima) ฏุลัยฮะฮ์ (Tulayha)หัวหน้าผู้ร่ำรวยและนักรบผู้สามารถแห่งเผ่าบนูอะซัด ก็ยืนหยัดแข็งข้อต่ออิสลามขึ้นที่อารเบียเหนือ ซะญะฮ์(Sajah) หญิงชาวคริสเตียนก็ประกาศตัวเองเป็นศาสดาหญิงเหมือนกัน นางมาจากเผ่าบนูยัรบูอ์ ในเอเซียกลาง ฉะนั้นงานในตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของท่านอบูบักร์จึงเกี่ยวข้องกับการปราบศ